ทุกวันที่ 8 สิงหาคม ของทุกปีเป็น วันแมวโลก เป็นวันที่เจ้าเหมียวทั่วโลกจะได้รับความรักอย่างราชาเลยทีเดียว เหล่าทาสหลายประเทศให้วันสำคัญกับวันนี้เป็นอย่างมาก
และไม่ใช่แค่เหล่าทาสในยุคปัจจุบันเท่านั้น ย้อนกลับไปหลายพันปี เหล่าทาสแมวก็ยังมีอยู่ในทุกยุคทุกสมัย วันนี้พี่ปลาวาฬจะพาย้อนรอยกลับไปประวัติศาสตร์ทาสแมวกัน
อ่านจบแล้วอย่าลืมไปให้ความรักเจ้าเหมียวกันน้า
ทาสแมวยุคที่ 1 : ยุคโบราณระยะแรก เทพเจ้าแมวแห่งอียิปต์
จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ทาสแมวเริ่มขึ้นที่ทวีปแอฟริกาเมื่อชาวอียิปต์โบราณเริ่มนำแมวป่าแอฟริกัน (African Wild Cat) มาเลี้ยง แมวขนสีเทามีลายเส้นสีดำคาดขาพันธุ์นี้วิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอาศัยบนต้นไม้ซึ่งนอกจากจะเป็นต้นตระกูลของสัตว์สายพันธุ์แมวแล้ว ยังเป็นต้นตระกูลสัตว์อื่นๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน เช่น หมีและหมา
ชาวอียิปต์เลี้ยงแมวไว้จับหนูที่เป็นพาหะนำโรคและมาป่วนกินผลผลิตทางการเกษตร จึงนับถือว่าแมวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และมีกฎหมายประหารชีวิตผู้ที่ฆ่าแมว เทพีบาสเทต (Bastet) เทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่ชาวอียิปต์บูชานั้นปรากฏโฉมทั้งในเวอร์ชั่นแมวและเวอร์ชั่นมีศีรษะเป็นแมว กายเป็นคน นอกจากนี้หากแมวในบ้านตาย สมาชิกในบ้านต้องโกนคิ้วเพื่อไว้ทุกข์ บางครั้งก็นำซากไปทำเป็นมัมมี่ ที่วิหารบูชาเทพีบาสเทตพบว่ามีมัมมี่แมวฝังอยู่กว่า 300,000 ตัว!
ทาสแมวยุคที่ 2 : ยุคโบราณระยะถัดมา แมวครองโลก
ในยุคนี้ เจ้านายตัวจ้อยจากลุ่มน้ำไนล์ออก world tour ไปตามดินแดนต่างๆ ผ่านการซื้อขาย เดินทางฟรีในฐานะนักล่าหนูประจำเรือสินค้า และในฐานะเป็นของกำนัลแด่จักรพรรดิ แมวกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของชนชั้นสูงและแพร่หลายไปยังคนทั่วไป จากอียิปต์สู่กรีก เปอร์เซีย จักวรรดิโรมัน ไปสู่เกาะอังกฤษ ข้ามไปซีกโลกตะวันออกสู่จีน ญี่ปุ่นและดินแดนต่างๆ ในเอเชีย
เพราะการเดินทางข้ามโลกมันเหงา มนต์รักระหว่างผู้มาเยือนกับเจ้าถิ่นจึงอุบัติขึ้น แมวจากถิ่นหนึ่งผสมพันธุ์กับแมวอีกถิ่นหนึ่งจนเกิดลักษณะแตกต่างใหม่ๆ เช่น แมวสีสวยอย่างวิเชียรมาศในสายพันธุ์ Siamese แมวสีน้ำตาลเข้มสายพันธุ์ Burmese และแมว Persian ขนยาวหน้ากลม แตกแขนงไปเรื่อยๆ ผ่านการผสมพันธุ์ การกลายพันธุ์ ต่างๆ นานา จนเมื่อปี 2016 สมาคม International Progressive Cat Breeders Alliance ประกาศว่าโลกของเราตอนนี้มีแมวนับ 70 สายพันธุ์
ทาสแมวยุคที่ 3 : ยุคกลาง เผาแมวทั้งเป็น…เป็นคนเองที่ซวย
ไม่มีประวัติศาสตร์ใดๆ ที่ปราศจากกบฏ ประวัติศาสตร์ทาสแมวก็เช่นกัน แมวในสายตาของชาวยุโรปยุคกลางไม่ได้น่ารักอีกต่อไปแต่กลับเป็นปีศาจร้ายที่เกี่ยวข้องกับซาตาน เพราะจำนวนที่มากขึ้นและนิสัยชอบออกหากินตอนกลางคืน แถมยังควบคุมไม่ค่อยได้ แมวจึงถูกเชื่อมโยงกับแม่มดและความชั่วร้าย เกิดเป็นความเชื่อเกี่ยวกับแมวมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแมวดำ ทั้งใครเจอแมวดำเดินตัดหน้าจะโชคร้าย หรือถ้าเห็นมันอยู่กับหญิงชรา ฟันธงได้เลยว่าหล่อนต้องเป็นแม่มด
แมวถูกล่าและเผาทั้งเป็นตลอดยุคล่าแม่มด ทว่าการลุกฮือต่อต้านของมนุษย์ครั้งนี้กลับกลายเป็นคนเองที่ซวย เมื่อแมวไม่อยู่ หนูก็พากันร่าเริง แพร่ระบาดโรคภัยต่างๆ โดยเฉพาะกาฬโรค (Black Death) ที่คร่าชีวิตชาวยุโรปไปนับหลายล้าน….สุดท้ายแล้ว มนุษย์ก็ไม่อาจเป็นไทจากแมวได้โดยสิ้นเชิง
ทาสแมวยุคที่ 4 : ยุคสมัยใหม่ ใครๆ ก็เลี้ยงแมว
จ้าวแมวกลับมาครองอำนาจอีกครั้ง นอกจากจะข้ามทะเลไปเปิดอาณานิคมแมวที่ทวีปอเมริกาแล้ว แมวยังกลายเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คน นำเทรนด์โดยพระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษที่มีแมวเปอร์เซียขนสีเทาน้ำเงินปุกปุยเป็นสัตว์เลี้ยง
ในปีค.ศ.1871 มีการจัดประกวดแมวครั้งแรกที่คริสตัล พาเลซ โดมกระจกขนาดใหญ่ในกรุงลอนดอนและจัดต่อเนื่องทุกๆ ปีนับจากนั้น 15 ปีต่อมา แมววิเชียรมาศของไทยเองก็ไปเปิดตัวต่อสายตาชาวโลกเป็นครั้งแรกที่งานนี้เมื่อน้องสาวของกงสุลอังกฤษประจำกรุงเทพฯ นำแมวสยามคู่แรกที่พี่ชายได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 5 ไปประกวดแล้วได้รับรางวัลชนะเลิศ ทำให้แมวไทยดังไกลทั่วโลก
ทาสแมวยุคที่ 5 : ปัจจุบัน แมวไอดอลคนฟอลเป็นล้าน
ปัจจุบันเจ้านายตัวน้อยกลายเป็นเน็ตไอดอลชื่อดัง ทั้งเพจเฟซบุ๊กคนฟอลเป็นล้าน มีมล้อน่าขำขัน ตัวการ์ตูน รวมไปถึงสื่ออื่นๆ อีกมากมายไม่ว่าจะหนังสือ หรือหนังเกี่ยวกับแมวที่เข้าไทยไม่ต่ำกว่า 7 เรื่องในปีที่ผ่านมา หรือหากอยากสัมผัสน้องแมวตัวเป็นๆ ก็ไปคาเฟ่แมวกันได้ จากการสำรวจปีที่แล้ว เมืองหลวงของเหล่าทาสแมวอย่างโตเกียวมีคาเฟ่แมวเปิดถึง 58 ร้าน!
จากยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน มนุษยชาติยินดีที่จะตกเป็นทาสแมวตลอดมา แล้วเมื่อไหร่กันนะ มนุษย์ถึงจะประกาศอิสรภาพ เลิกเป็นทาสแมวได้สักที
หรือวันนั้นจะไม่มีจริง?!